หน้าหลัก
เบื้องหลักการถ่ายทำ
 

          การกระจายของขนาดเม็ดดิน มักแสดงด้วยกราฟแสดงความสัมพันธ์ระหว่างขนาดเม็ดในสเกลลอกการิทึม (Logarithmic Scale) และเปอร์เซ็นต์โดยน้ำหนักของเม็ดที่มีขนาดเม็ดเล็กกว่าที่ระบุ (Percent Finer) ซึ่งเรียกว่ากราฟการกระจายของขนาดเม็ดดิน (Grain Size Distribution Curve) ดังแสดงในรูป

คลิกเพื่อขยายรูป
รูปที่ 1 กราฟการกระจายของขนาดเม็ดดิน

          ขนาดที่ระบุในกราฟนั้นแท้ที่จริงแล้วเป็นเพียงขนาดประมาณ (Equivalent Diameter) เท่านั้น ทั้งนี้เพราะเหตุผลดังต่อไปนี้

          1. ขนาดช่องของตะแกรงเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส แต่ขนาดเม็ดดินอาจมีรูปร่างต่าง ๆ กัน เช่น ยาวรี, แผ่น, กลม หรืออื่น ๆ ได้
รูปร่างของเม็ดดินแบบต่างๆ
          2. ในการตกตะกอนอาจมีอิทธิพลของเม็ดดินเอง และผนังภาชนะบรรจุมาเกี่ยวข้อง ทำให้การตกตะกอนไม่เป็นอิสระอย่างแท้จริง
          3. รูปร่างของเม็ดดินเหนียวมักเป็นแผ่น มิใช่ทรงกลมตามสมมติฐานของการตกตะกอน ดังนั้น การตกตะกอนของเม็ดดินจริงจึงคล้ายใบไม้หล่นจากต้น จึงทำให้การคำนวณความเร็วตกตะกอนผิดไปจากที่เป็นจริง

          4. ความถ่วงจำเพาะของเม็ดดินในการคำนวณการตกตะกอนถือเป็นค่าเฉลี่ย ซึ่งความจริงดินแต่ละเม็ดอาจจะมีธาตุสารไม่เหมือนกัน ทำให้ความถ่วงจำเพาะแตกต่างกันมากก็ได้
coarse gravel
fine gravel
coarse sand
 
medium sand
fine sand
 

          ลักษณะของกราฟการกระจายของขนาดเม็ดดิน ดังแสดงในรูปที่ 1 แบ่งเป็น 2 จำพวกใหญ่ๆ ด้วยกัน คือ


          1. ดินที่มีขนาดเม็ดคละกันดี (Well Graded Soil) คือดินมีเม็ดขนาดต่างๆ คละกันดี โดยพิจารณาจากช่วงของกราฟ เรียกว่า Coefficient of Uniformity

และความโค้งงอของเส้นกราฟ เรียกว่า Coefficient of Concavity


          เมื่อ Di = ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของเม็ดดินที่มี i เปอร์เซ็นต์โดยน้ำหนักมีขนาดเล็กกว่านี้ เช่น D60 ใน กราฟ A 0.17 ม.ม.

          ดินจะมีคุณสมบัติคละกันดีต่อเมื่อมีคุณสมบัติตามตารางที่ 1

ตารางที่ 1 ลักษณะของดินที่มีขนาดเมล็ดคละ
 
Cu
Cc
หิน
มากกว่า 4
1 - 3
ทราย
มากกว่า 6
1 - 3
          สำหรับในกราฟรูปที่ 1 A Cu= 94, Cc= 1.58 จึงเป็นลักษณะของทรายที่มีขนาดเม็ดคละกันดี (Sand Well Graded)
 
          2. ดินที่ไม่มีขนาดเม็ดคละ (Poorly Graded Soil) จะแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
          ก. ดินที่มีขนาดเม็ดขาดช่วง (Gap Graded) เช่น ในกราฟ รูปที่ 1 B จะเห็นว่าขนาดระหว่าง 0.0025 ถึง 0.017 ม.ม. หายไป กราฟจึงเป็นเส้นระนาบ
          ข. ดินที่มีเม็ดขนาดเดียว (Uniform Graded) เช่น ในกราฟ รูปที่ 1 C จะเห็นว่าขนาดของเม็ด ระหว่าง1.0 - 2.0 ม.ม. มีถึง 55 เปอร์เซ็นต์
          วิธีการหาขนาดเม็ดดินโดยวิธีตกตะกอน อาศัยทฤษฎีของ stoke ที่ว่าความเร็วในการตกตะกอนจะขึ้นอยู่กับความหนาแน่นของเม็ด, ความหนาแน่นของของเหลว, ความหนืดของของเหลว และขนาดของเม็ดดังความสัมพันธ์ ต่อไปนี้
-----(1)
เมื่อ : = ความหนาแน่นของเม็ดดิน
  = ความหนาแน่นของของเหลว
  µ = ความหนืดของของเหลว (Viscosity) แสดงในตารางที่ 2
  D = เส้นผ่าศูนย์กลางของเม็ดดิน
ตารางที่ 2 ความหนืดของน้ำที่อุณหภูมิต่างๆ (หน่วยเป็น mill poises = 1 Dyne – sec/sq.cm.)
C
0
1
2
3
4
5
6
7
8
9
0
17.94
17.32
16.74
16.19
15.68
15.19
14.73
14.29
13.87
13.48
10
13.10
12.74
12.39
12.06
11.75
11.45
11.16
10.88
10.60
10.34
20
10.09
9.84
9.61
9.38
9.16
8.95
8.75
8.55
8.36
8.18
30
8.00
7.83
7.67
7.51
7.36
7.21
7.06
6.92
6.79
6.66
40
6.54
6.42
6.30
6.18
6.08
5.97
5.87
5.77
5.68
5.58
50
5.49
5.40
5.32
5.24
5.15
5.07
4.99
4.92
4.84
4.77
60
4.70
4.63
4.56
4.50
4.43
4.37
4.31
4.24
4.19
4.13
70
4.07
4.02
3.96
3.91
3.86
3.81
3.76
3.71
3.66
3.62
80
3.57
3.53
3.48
3.44
3.40
3.36
3.32
3.28
3.24
3.20
90
3.17
3.13
3.10
3.06
3.03
2.99
2.96
2.93
2.90
2.87
100
2.84
2.82
2.79
2.76
2.73
2.70
2.67
2.64
2.62
2.59
          จากรูปที่ 2 เมื่อเวลาผ่านไป t เม็ดดินที่ตกตะกอนลงมาอยู่ที่ความลึก h จะมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ดังในสมการที่ 2 เหนือระยะ h ขึ้นไป จะมีแต่เฉพาะ
-----(2)
          เม็ดดินที่มีขนาดเล็กกว่า D ในสมการ 2 ทั้งนั้น เพราะเม็ดใหญ่กว่านี้ได้ตกตะกอนลงมาข้างล่างหมดแล้ว ฉะนั้นที่ระยะ h นี้ความเข้มข้นหรืออัตราส่วนของเม็ดเล็กกว่า D ในสารผสมจะยังไม่เปลี่ยนแปลง คงเหมือนกับที่จุดใด ๆ เมื่อเริ่มการตกตะกอน ดังนั้นเปอร์เซ็นต์ของเม็ดดินที่มีขนาดเล็กกว่า D จะเท่ากับ
-----(3)
 
รูปที่ 2 การตกตะกอนของเม็ดดิน
 
          เมื่อเราจุ่ม Hydrometer ไปวัดก็จะอ่านค่าความถ่วงจำเพาะของสารผสมนั้น
-----(4)

          เมื่อ Rc = ค่าที่อ่านได้จากไฮโดรมิเตอร์ (ส่วนที่เกิน 1.00 เป็นจำนวนเต็ม) แทนค่า Wd ในสมการ 4 ลงในสมการ 3
-----(5)
          ในกรณีที่ใช้กระบอกตกตะกอนขนาด 1000 ลบ.ซม. สมการที่ 5 อาจจะหาอยู่ในค่าของน้ำหนักดินแห้งในสารผสม, Ws ได้ดังนี้
-----(6)
          สำหรับสมการที่ 2 เทอมค่าคงที่เฉพาะกรณี (µ,,) อาจรวมเป็นค่าคงที่ K2 ได้ คือ
-----(7)
แสดงในตารางที่ 3
ตารางที่ 3 ค่าคงที่ K2
คลิกเพื่อขยายรูป
การอ่านค่า Rc มักมีปัญหาที่จะต้องปรับแก้ คือ
          1. Meniscus Correction, Cm คือ ค่าความแตกต่างของค่าที่อ่านจริงและค่าที่ควรจะอ่านที่ระดับท้องน้ำ ดังแสดงในรูปที่ 2 ทั้งนี้เพราะส่วนผสมมีลักษณะขุ่น การอ่านที่ระดับท้องน้ำจะทำไม่ได้ จึงต้องอ่านที่ส่วนบนของ Meniscus แทน การหาค่า Cm ทำได้โดยอ่านในน้ำเปล่า
          2. Temperature Correction, CT คือ ค่าความแตกต่างของค่าที่อ่านได้ในน้ำเปล่า กับค่า 1.000 จริง เนื่องจากอิทธิพลของอุณหภูมิ ได้จากการอ่านค่าในน้ำเปล่าที่อุณหภูมิเท่ากับส่วนผสม

 

                              Rc  =  Ra  +  Cm  +  CT -----(8)
เมื่อ : Ra = ค่าที่อ่านในระหว่างการทดลอง
  Cm  = Meniscus Correction
  CT = Temperature Correction
       
การหาความสัมพันธ์ของ Rc และ h สามารถหาได้โดยการหากราฟความสัมพันธ์ซึ่งมี 2 ลักษณะ คือ
          ก. ช่วงแรกของการอ่านตั้งแต่ 0 - 2 นาที เพราะในช่วงนี้จะไม่มีการยกไฮโดรมิเตอร์ออกจากกระบอกวัด
-----(9)
เมื่อ : L   = ความยาวของตัวกระเปาะไฮโดรมิเตอร์จากปลายถึงขีด 40 (ASTM 151H)
  Ls = ความยาวของก้านไฮโดรมิเตอร์จากขีด 0 ถึง 40 (ASTM 151H)
     
          ข. ช่วงการอ่านที่นานกว่า 2 นาที ในช่วงนี้จะยกไฮโดรมิเตอร์ออกภายหลังจากการอ่านจึงมีการเปลี่ยนแปลงของปริมาณสารผสมที่จุดกึ่งกลางของกระเปาะ ความสูงจะเพิ่มขึ้นเท่ากับ
      
-----(10)
 
เมื่อ : Vb = ปริมาตรของกระเปาะหาได้จากการแทนที่น้ำ, ลบ.ซม.
  Aj   = พื้นที่หน้าตัดของกระบอกตกตะกอน, ตร.ซม.
ตัวอย่างกราฟความสัมพันธ์ของ Rc และ h แสดงไว้ในรูปที่ 3
 
คลิกเพื่อขยายรูป
รูปที่ 3 กราฟความสัมพันธ์ของ Rc และ h
เมนูหลักแบบทดสอบก่อนเรียนบทนำทฤษฎีเครื่องมือและอุปกรณ์วิธีการทดลองการคำนวณผลการทดลองแบบทดสอบหลังเรียน 
เชิดพันธุ์ อมรกุล และ ผศ.ดร.สุทธิศักดิ์ ศรลัมพ์
ศูนย์วิจัยและพัฒนาวิศวกรรมปฐพีและฐานราก  ภาควิชาวิศวกรรมโยธา   คณะวิศวกรรมศาสตร์   มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์